บล.เคจีไอ : CPN แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 60.00 บ. |
แนวโน้มยังคงสดใส สรุปประเด็นสำคัญ และข่าวล่าสุด - คงคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 60 บาท - คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่จะสูงกว่า 90% จากการเปิดห้างใหม่ในปีนี้ - มีโครงการที่มีศักยภาพสูงรออยู่อีกหลายโครงการ - คาดว่าผลประกอบการปี 2556 จะแข็งแกร่ง คงคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 60 บาท ในการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ ผู้บริหารได้เล่าถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 1/56 ซึ่งดีกว่าที่คาด โดยได้ชูประเด็นเรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของค่าเช่าพื้นที่ และอัตราการเช่าพื้นที่ซึ่งสูงถึง 96% สำหรับในปีนี้ ผู้บริหารตั้งเป้าที่จะเปิดห้างใหม่อีก 3 แห่งโดยมีอัตราการเช่าพื้นที่เกินกว่า 90% จากการที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นผู้เช่าพื้นที่ โดยในปัจจุบันบริษัทได้ประกาศว่ามีโครงการ 5 โครงการที่อยู่ในแผนงานในขณะที่เราคาดว่าจะมีเพิ่มอีกหนึ่งแห่งในปี 2557 ซึ่งคาดว่าบริษัทจะประกาศในภายหลัง ทั้งนี้ผู้บริหารยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการขยายกิจการซึ่งทางบริษัทจะ เปิดห้างใหม่ 7 แห่งในสามประเทศภายในปี 2563 จากประมาณการในปัจจุบันของเราซึ่งรวมคำนวณห้างที่เปิดใหม่ถึงแค่เพียงปี 2557 เราคาดว่ากำไรของบริษัทในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 13% CAGR และเรายังคงประมาณการกำไรปกติปี2556 เอาไว้ที่ 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.5% YoY เราคงคำแนะนำซื้อโดยให้ราคาเป้าหมายที่ 60 บาท ซึ่งคำนวณโดยวิธี DCF เอาไว้ที่ 60 บาท คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่จะสูงกว่า 90% จากการเปิดห้างใหม่ 3 แห่ง ในปีนี้CPN ได้เปิดศูนย์การค้าใหม่ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เมษายน คือเซ็นทรัลพลาซ่าอุบลราชธานี โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ตอนเปิดห้างสูงถึง 91% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 70-80% ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารก็มีความมั่นใจว่าห้างอีกสองแห่งที่จะเปิดในไตรมาสที่ 4/56 ซึ่งได้แก่ เซ็นทรัล เฟสติวัลเชียงใหม่ และเซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่ ก็จะมีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกัน ซึ่งถึงตอนนี้ สัดส่วนยอดจองพื้นที่ต่อจำนวนพื้นที่ปล่อยเช่าทั้งหมดของทั้งสองห้างอยู่ที่ 75% และ 70% ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบรับอย่างดีเยี่ยมของกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นผู้เช่า พื้นที่มีโครงการที่มีศักยภาพสูงรออยู่อีกหลายโครงการ ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีแผนเปิดห้างใหม่หลายแห่งแล้วในปี 2556 แต่บริษัทก็ยังมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ โดยจะเปิด 2 โครงการในปี 2557 ซึ่งได้แก่เซ็นทรัล เฟสติวัล สมุย ซึ่งมีพื้นที่ปล่อยเช่าทั้งหมด 1.93 หมื่นตารางเมตร โดยมีกำหนดเปิดในไตรมาสที่ 1/57 และเซ็นทรัลพลาซ่า ศาลายา ซึ่งมีพื้นที่ปล่อยเช่าทั้งหมด 3.39 หมื่นตารางเมตร โดยมีกำหนดเปิดในไตรมาสที่ 3/57 และอีกหนึ่งห้างคือเซ็นทรัล เวสต์เกต ซึ่งจะเปิดในไตรมาสที่ 2/58 นอกจากนี้ เรายังคาดว่าบริษัทจะเปิดห้างใหม่อีกหนึ่งแห่งในปี 2557 ซึ่งนาจะอยู่ในกระบวนการวางแผนพัฒนาโครงการอยู่ สำหรับในขณะนี้ โครงการที่แยกลุมพินียังคงอยู่ในระหว่างการดำเนินการซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภาย ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยสรุปแล้วCPN มีแผนที่จะเปิดห้างใหม่อีก 7 แห่งใน 3 ประเทศภายในปี 2563 ความคืบหน้าของแผนการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้บริหารได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกับ I-City Properties SdnBhd (ICP) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ I-Berhad เพื่อร่วมจัดตั้ง Joint Venture ซึ่งCPN จะถือหุ้น 60% เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์การค้าใน Shah Alam city ซึ่งอยู่ในรัฐ Selangor ของประเทศมาเลเซียโดยมีมูลค่าโครงการรวม 5.8 พันล้านบาท โครงการนี้จะพัฒนาอยู่บนที่ดินขนาด 11.12 เอเคอร์ (28 ไร่) โดยมีพื้นที่ปล่อยเช่ารวมทั้งสิ้น 8.97 หมื่นตารางเมตร โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในปี 2557 และจะเปิดให้บริการได้ในปี 2559 นอกจากนี้ผู้บริหารยังได้เปิดเผยว่า CPN อยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพื่อร่วมพัฒนาโครงการศูนย์การค้าใน อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปีนี้ ความสำเร็จในการเพิ่มทุนจะช่วยสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจ CPN ได้ขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 130.37 ล้านหุ้นโดยวิธี private placementให้กับนักลงทุนต่างประเทศ 60% และอีก 40% ให้กับนักลงทุนสถาบัน ที่ราคา50.75 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำให้บริษัทได้เงินรวมแล้ว 6.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ผู้บริหารบอกว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการเพิ่มทุนรอบนี้ส่วนใหญ่ จะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการเซ็นทรัลเฟสติวัล และ เซ็นทรัลพลาซ่า ศาลายา คาดว่าผลประกอบการปี 2556 จะแข็งแกร่ง เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2556 เอาไว้ที่ 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น34.5% YoY ทั้งนี้การเปิดห้างใหม่สามแห่งและค่าเช่าพื้นที่ที่ขยับเพิ่มขึ้นน่าจะช่วย ให้รายได้ของ CPN เพิ่มขึ้น 14.7% YoY เป็น 1.92 หมื่นล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะเพิ่มขึ้นอีก 50 bps เป็น 44.2% ในปี 2556 จาก 43.7%ในปี 2555 ทั้งนี้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/56 คิดเป็น 28% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปีของเรา และเรามองว่าประมาณการของเรายังคงมี upside อยู่อีกเล็กน้อย แต่เรายังคงประมาณการเดิม โดยรอแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/56 อีกครั้ง เนื่องจากเป็นไตรมาสนอกฤดูกาลขายของปี |
นวพร เชื้อเมืองพาน เรียบเรียง ที่มา: หุ้นอินไซด์ วันที่ : 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 |
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
Central Pattana With 18% upside to our YE13 target price of Bt63
The Nation
Bualuang Securities May 15, 2013
What’s new?
Last night, private placements were made for 130.4m new shares and there were big lot sales of 83.4m existing shares (sold by Khunying Suchitra Mongkolkitti and Mrs Sukanya Promphan) to institutional and specific investors at a price of Bt50.75.
More trading liquidity = more value
The private placements of 130.4m shares (2.9% of paid-up capital) were expected, but the 83.4m shares (1.9% of paid-up capital) sold by two members of Chirathivat family surprised us. The sales by major shareholders might generate negative sentiment toward the stock in the short term, but they will also mean greater trading liquidity, which will ease liquidity risk and WACC.
Enhancing the growth profile
The share dilution of 2.9% is minimal. The proceeds of Bt6.6bn from the cash call should enable CPN to speed up its expansion. We expect the firm to soon announce new projects in addition to those (3-4 malls a year) under its current CAPEX plan, which would enhance its long-term growth profile further. As such, EPS dilution should be only a short-term phenomenon.
Spin-off gain still underway
Although net gearing has fallen to only 0.44x, the plan to spin off the Chiangmai and Ramindra properties to CPNRF remains in place (albeit delayed somewhat to late 3Q13 or early 4Q13). CPN still needs to monetize assets in order to finance huge CAPEX plans of Bt14-15bn/year in FY13-14 and around Bt10bn in FY15 (excluding the additional projects). We estimate a spin-off gain of about Bt3.8bn, to be booked in either 3Q13 or 4Q13.
BUY rating stands
With the private placements completed, we don’t see any obvious negative events that would put downward pressure on the share price within the next 12 months. Indeed, we expect positive new flows/events to prompt earnings forecast and valuation upgrades, such as new project announcements and spin-off gains. As such, if the share price were to decline to a level near the placement price, we think it would present a great opportunity to take or increase positions. With 18% upside to our YE13 target price of Bt63, our BUY rating stands.
Bualuang Securities May 15, 2013
Overnight placement
Central Pattana Plc (CPN)What’s new?
Last night, private placements were made for 130.4m new shares and there were big lot sales of 83.4m existing shares (sold by Khunying Suchitra Mongkolkitti and Mrs Sukanya Promphan) to institutional and specific investors at a price of Bt50.75.
More trading liquidity = more value
The private placements of 130.4m shares (2.9% of paid-up capital) were expected, but the 83.4m shares (1.9% of paid-up capital) sold by two members of Chirathivat family surprised us. The sales by major shareholders might generate negative sentiment toward the stock in the short term, but they will also mean greater trading liquidity, which will ease liquidity risk and WACC.
Enhancing the growth profile
The share dilution of 2.9% is minimal. The proceeds of Bt6.6bn from the cash call should enable CPN to speed up its expansion. We expect the firm to soon announce new projects in addition to those (3-4 malls a year) under its current CAPEX plan, which would enhance its long-term growth profile further. As such, EPS dilution should be only a short-term phenomenon.
Spin-off gain still underway
Although net gearing has fallen to only 0.44x, the plan to spin off the Chiangmai and Ramindra properties to CPNRF remains in place (albeit delayed somewhat to late 3Q13 or early 4Q13). CPN still needs to monetize assets in order to finance huge CAPEX plans of Bt14-15bn/year in FY13-14 and around Bt10bn in FY15 (excluding the additional projects). We estimate a spin-off gain of about Bt3.8bn, to be booked in either 3Q13 or 4Q13.
BUY rating stands
With the private placements completed, we don’t see any obvious negative events that would put downward pressure on the share price within the next 12 months. Indeed, we expect positive new flows/events to prompt earnings forecast and valuation upgrades, such as new project announcements and spin-off gains. As such, if the share price were to decline to a level near the placement price, we think it would present a great opportunity to take or increase positions. With 18% upside to our YE13 target price of Bt63, our BUY rating stands.
วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
CPN ร่วมทุน I-BERHAD ผุดมอลล์ยักษ์ในมาเลเซีย
ASTVผู้จัดการออนไลน์
13 พฤษภาคม 2556
“ซีพีเอ็น” จ่อร่วมทุน I-BERHAD ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ แดนเสือเหลือง
พัฒนารีจินัลมอลล์ในรัฐสลังงอร์ มาเลเซีย มูลค่า 5.8 พันล้านบาท
คาดเปิดบริการปี 2559 หวังใช้เป็นก้าวแรกทะยานสู่อาเซียน นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น (CPN) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาในหนังสือแสดงความประสงค์เพื่อจะเข้าทำสัญญาร่วมทุนกับ I-City Properties Sdn Bhd หรือ ICP ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ I-Berhad ยักษ์ใหญ่ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมาเลเซีย โดยในการร่วมทุนที่จะเกิดขึ้น ICP จะถือหุ้นในสัดส่วน 40% และ CPN โดยบริษัทย่อยที่จะได้จัดตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซียจะถือหุ้นในสัดส่วน 60% เพื่อพัฒนาศูนย์การค้าแห่งแรกของซีพีเอ็นในมาเลเซียในรูปแบบรีจินัลมอลล์ มูลค่า 580 ล้านริงกิต หรือประมาณ 5,800 ล้านบาท ในโครงการ i-City ซึ่งเป็น Malaysia Cybercenter (MSC) เมืองเทคโนโลยีแห่งใหม่ของมาเลเซียในเขต 7 ของเมืองชาห์อลัม รัฐสลังงอร์ ครั้งนี้นับเป็นครั้งสำคัญของ CPN กับก้าวแรกในการนำพาธุรกิจของเราไปสู่อาเซียน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราบรรลุวิสัยทัศน์องค์กรในการก้าวไปเป็น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกระดับภูมิภาค เรามีความมั่นใจในเศรษฐกิจของมาเลเซีย และเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในประเทศนี้ที่กำลังเติบโตและมีความแข็งแกร่งใน ทุกด้าน โดยเฉพาะเมืองชาห์อลัม เมืองหลวงของรัฐสลังงอร์ ซึ่งมีประชากรมากกว่า 600,000 คน และมีการเติบโตของกลุ่มคนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว เราเชื่อมั่นว่าการบริหารโครงการก่อสร้างภายใต้ความเชี่ยวชาญ รวมถึงความเข้าใจตลาด และความสัมพันธ์อันดีกับภาครัฐของ ICP รวมถึงความเชี่ยวชาญของ CPN ที่มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกด้วยความเป็นผู้ นำของธุรกิจนี้ในประเทศไทยและมีศูนย์การค้าภายใต้การบริหารปัจจุบันรวม 21 แห่งทั่วประเทศ จะช่วยให้การพัฒนาศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี การลงทุนพัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบรีจินัลมอลล์มูลค่าประมาณ 5,800 ล้านบาทในเมืองชาห์อลัม เมืองหลวงของรัฐสลังงอร์ มาเลเซีย เป็นการพัฒนาศูนย์การค้าบนที่ดินฟรีโฮลด์ขนาดกว่า 28 ไร่ มีพื้นที่โครงการทั้งหมด (GFA) ประมาณ 138,000 ตารางเมตร และมีพื้นที่ขาย (NLA) ประมาณ 89,700 ตารางเมตร โดย CPN จะควบคุมการออกแบบ พัฒนาศูนย์การค้า และบริหารศูนย์การค้าแห่งนี้ในฐานะบริษัทบริหารศูนย์การค้า ซึ่งที่นี่จะเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์ทันสมัย ทั้งการชอปปิ้ง บันเทิง และเป็นศูนย์กลางการพบปะของชุมชนในเขตตะวันตกของรัฐสลังงอร์ การก่อสร้างศูนย์การค้าแห่งนี้คาดว่าจะเริ่มในปี 2557 และจะเปิดให้บริการในปี 2559 สำหรับซีพีเอ็นเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย และเป็นบริษัทผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกของประเทศที่ มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและบริหารศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานในประเทศไทย ปัจจุบันบริหารศูนย์การค้าทั้งหมด 21 แห่ง อาคารสำนักงาน 7 แห่ง โรงแรม 2 แห่ง และอาคารที่พักอาศัย 2 แห่ง ส่วน ICP เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของ I-Berhad ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ของมาเลเซีย ICP เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซา มาเลเซีย และเป็นผู้พัฒนาโครงการ i-City ซึ่งเป็นเมืองเทคโนโลยีแห่งใหม่ของมาเลเซียบนที่ดินฟรีโฮลด์พื้นที่ประมาณ 182 ไร่ ตั้งอยู่บนทางหลวงหลักของเมือง ซึ่งโครงการนี้ประกอบด้วยศูนย์การค้า อาคารสำนักงานไซเบอร์เซ็นเตอร์ สำนักงานของบริษัทชั้นนำ โรงแรม อาคารที่พักอาศัย และพื้นที่ค้าปลีก |
วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
CPN ปี 2556-2560 มีเป้าหมายที่จะสร้างศูนย์การค้าทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศเพิ่มอีก 12 แห่ง ลงทุนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท
เซ็นทรัลพัฒนาฯ อสังหาฯ ตระกูลจิราธิวัฒน์
การเติบโตในกลุ่มธุรกิจค้าป ลีกอย่างเซ็นทรัล ของตระกูลจิราธิวัฒน์ ทำให้นอกจากการพัฒนาที่ดินส ำหรับก่อสร้างห้างสรรพสินค้ าแล้ว ตระกูลจิราธิวัฒน์ โดยจัดโครงสร้างธุรกิจในช่ว งปี 2535
แยกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออ กมาจากธุรกิจค้าปลีกโดยตั้ง บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) เข้ามาดูแลการพัฒนาที่ดินเพ ื่อก่อสร้างศูนย์การค้าให้ก ับกลุ่มในขณะที่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ดูแลเฉพาะการลงทุนในส่วนของ ห้างสรรพสินค้าภายใต้แบรนด์ เซ็นทรัล
นอกจากการพัฒนาศูนย์การค้าเ พื่อให้เช่าแล้ว บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) ยังพัฒนาส่วนของอาคารสำนักง าน ที่อยู่อาศัย และโรงแรม ในเครือเซ็นทรัลทั้งหมด ภายใต้การบริหารงานของทายาท รุ่นที่3 ของตระกูล กอบชัย จิราธิวัฒน์ ที่เข้ามารับผิดชอบการบริหา รหลังปี 2540
หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 กลุ่มเซ็นทรัล ได้มีการปรับโครงสร้างการบร ิหารกิจการของกลุ่มอย่างชัด เจน โดยแบ่งเป็นกลุ่มห้างสรรพสิ นค้า ที่ดูแลในเรื่องของการบริหา รจัดการห้างสรรพสินค้าของใน เครือทั้งหมดที่มีทั้ง เซ็นทรัล โรบินสัน เซน กลุ่มโรงแรม ที่มีหน้าที่ในการบริหารกิจ การธุรกิจโรงแรม และรับในการบริหารโรงแรมภาย ใต้ชื่อเซ็นทารา กลุ่มธุรกิจการค้าที่รับผิด ชอบในการนำเข้าสินค้าแบรนด์ ต่างๆ และร้านอาหารเข้ามาในห้างสร รพสินค้าและศูนย์การค้าที่ร ับผิดชอบโดย บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (CRC) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่รับผิดชอบในการก่อสร้างศ ูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย
การจัดโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ ดังกล่าวเพื่อเพิ่มศักยภาพใ นการขยายธุรกิจของกลุ่ม โดยเฉพาะส่วนของพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์ ที่ทำให้ กลุ่มเซ็นทรัล มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร ็ว หลังจากปี 2549 ที่เดิมมีศูนย์การค้าเซ็นทร ัล
เพียง 9 แห่งในปี 2540 กับพื้นที่ค้าปลีกประมาณ 500,000 ตารางเมตร เป็น 22
แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด กับพื้นที่ค้าปลีกมากกว่า 3,252,200
ตารางเมตรในปี 2555
และในปี 2556-2560 บริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้าง ศูนย์การค้าทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศเพิ่มอีก 12 แห่งมูลค่าเงินลงทุนไม่น้อย กว่า 5 หมื่นล้านบาท การขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่ วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรั บโครงสร้างธุรกิจ แยกส่วนของอสังหาริมทรัพย์อ อกมาต่างหาก ทำให้บริษัท สามารถที่จะระดมทุนได้ด้วยต ัวเอง นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในต ลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 1 มีนาคม 2538 เป็นต้นมา นอกจากการระดมทุนในรูปของหุ ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว บริษัทยังนำเอาศูนย์การค้าแ ต่ละแห่งที่สร้างขึ้นมาและม ีรายได้จากการเช่า มาจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาร ิมทรัพย์ ซึ่งเป็นแหล่งทุนสำคัญที่รอ งรับกับการเติบโตของบริษัท โดยที่คงสัดส่วนหนี้ต่อทุนข องบริษัทให้ไม่เกินอัตรา 2:1 โดยมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ ที่ 1.75:1 ณ สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2555
หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นต้นมา กลุ่มเซ็นทรัล เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ฟื้นตั วอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจค้า ปลีก ด้วยแนวความคิดในการแยกการบ ริหารระหว่างส่วนที่การพัฒน าที่ดินออกจากการบริหารห้าง สรรพสินค้า โดยให้แต่ละกลุ่มธุรกิจมีอิ สระในการบริหารงานเป็นของตั วเอง ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์หลักขอ งกลุ่มที่ต้องการจะขยายเครื อข่ายและสาขาให้ครอบคลุมทุก พื้นที่ในประเทศไทย และขยายเครือข่ายออกไปในต่า งประเทศ เพื่อให้เกิดการประหยัดจากข นาด (economy of scale) และนำเอาเครื่องมือทางการเง ินใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มสภาพคล่ องทางการเงินให้กับบริษัทเพ ื่อใช้ในการขยายงาน แทนการกู้เงินจากสถาบันการเ งิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาร ายได้ในอนาคตจากรายได้จากกา รเช่าพื้นที่ค้าปลีกของศูนย ์การค้าแต่ละแห่งมาจัดตั้งก องทุนอสังหาริมทรัพย์ ทำให้สามารถระดมทุนผ่านการอ อกหน่วยลงทุนในกองทุนอสังหา ริมทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในการ ขยายงาน
นอกเหนือจากการก่อสร้างศูนย ์การค้าแล้ว บริษัทยังให้มุ่งพัฒนาโครงก ารที่สร้างรายได้จากการเช่า อย่างอาคารสำนักงาน รวมถึงบางทำเลยังพัฒนาที่อย ู่อาศัยอย่างคอนโดมิเนียม เพื่อขายในพื้นที่ที่มีศักย ภาพอาทิ ทำเลย่านบางนา และล่าสุดคือโครงการที่บางใ หญ่ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ก็นำมาพัฒนาทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม ซึ่งการพัฒนาพื้นที่แต่ละแห ่ง กอบชัย เคยให้สัมภาษณ์ว่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประ เภทไหนในแต่ละทำเลขึ้นอยู่ก ับโอกาสมากกว่า โดยเป้าหมายหลักของบริษัทคื อการพัฒนาศูนย์การค้า แต่ถ้าทำเลมีศักยภาพที่จะพั ฒนาเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม หรือที่อยู่อาศัย ก็จะพัฒนาไปตามความเหมาะสม โดยมีเป้าหมายให้บริษัทมีอั ตราการเติบโตไม่น้อยกว่าร้อ ยละ 10 ต่อปี จากรายได้รวม 2.0125 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 6.188 พันล้านบาท ในปี 2555
ความสำเร็จในการขยายตัวอย่า งรวดเร็วในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นผลมาจากการนำเอาบทเรียน จากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 มาใช้ในการบริหารงานโดยเฉพา ะอย่างยิ่งการบริหารหนี้และ ทุน ด้วยการนำเอาเครื่องมือทางก ารเงินที่ใช้รายได้ในอนาคตม าขยายกิจการผ่านกองทุนรวมอส ังหาริมทรัพย์ เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยและคว ามเสี่ยงทางการเงิน มาบริหารจัดการให้บริษัทสาม ารถต่อยอดเติบโตได้อย่างมีป ระสิทธิภาพและกลับมาเป็นผู้ นำในตลาดค้าปลีกแซงหน้าคู่แ ข่งที่อยู่ในตลาดปัจจุบัน
การเติบโตในกลุ่มธุรกิจค้าป
แยกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออ
นอกจากการพัฒนาศูนย์การค้าเ
หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 กลุ่มเซ็นทรัล ได้มีการปรับโครงสร้างการบร
การจัดโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ
และในปี 2556-2560 บริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้าง
หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นต้นมา กลุ่มเซ็นทรัล เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ฟื้นตั
นอกเหนือจากการก่อสร้างศูนย
ความสำเร็จในการขยายตัวอย่า
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
CPN แตกพาร์ +10.1% บุ๊คกำไรขายสินทรัพย์ ดันงบไตรมาส 3 พีคสุด
ข่าวหุ้น วันอังคารที่ 07 พฤษภาคม 2556
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ปิดเที่ยงที่ 55.75 บาท บวก 3.75 บาท หรือ 7.21% มูลค่าการซื้อขาย 230.80 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น CPN แกว่งตัวขึ้นรอบนี้จากระดับราคา 48.75 บาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 37% จากระดับราคา 40.63 บาท ในเชิงเทคนิคราคาหุ้นเข้าเขตซื้อมากเกินไป (RSI=77.36) ล่าสุดราคาหุ้น CPN ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 36.61 เท่า และP/BV ที่ 8.94 เท่า
ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 113.67 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ว่า คาดกำไรสุทธิ 1Q56 เติบโต 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากค่าเช่าเพิ่มขึ้นและเปิดโครงการใหม่ ผลประกอบการจะขยายตัวต่อเนื่องใน 2Q56 และ สูงสุดของปีในช่วง 3Q56 จากการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ CPN มีศักยภาพเติบโตยั่งยืนจากการปรับขึ้นค่าเช่า และ การเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น อุบลฯ เชียงใหม่ หาดใหญ่ เปิดปีนี้ สมุย ศาลายา เปิดปี 2557 และ Central Westgate บางใหญ่ เปิดปี 2558 เราคงคำแนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย (DCF) เท่ากับ 115 บาท
(หลังแตกพาร์ราคาเป้าหมาย 57.50 บาท)
บล.กรุงศรีระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ว่า ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” สำหรับ CPN และปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้นจากเดิม 21% มาอยู่ที่ 121 บาท (DCF) จากมุมมองที่ดีขึ้นต่อโอกาสเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 57-58 ขึ้น 2%-3% สะท้อนแผนการเปิดศูนย์การค้าใหม่สองแห่ง คาดผลประกอบการ 1Q56 ยังเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ 2H56 มีแผนนำศูนย์การค้าอีก 2 แห่งเข้ากองทุนรวมสิทธิการเช่า ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนทั้งระยะสั้นถึงยาว
CPN ปิดเย็น ที่ 57.25 บาท บวก 5.25 บาท หรือ 10.10 %
CPN เปิด 2 โปรเจ็คใหม่ พร้อมเตรียมลุยอาเซียน มาเล เซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2556
CPN อัดงบกว่า 7,000 ล้านบาท เปิด 2 โปรเจ็กต์ยักษ์ที่เกาะสมุยและศาลายา หวังรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ เล็งอีก 5 ปี บุกอาเซียนมากขึ้น ตั้งเป้าสิ้นปีมีรายได้โต 15%
นายกอบชัย จิราธิวิฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (ซีพีเอ็น) เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์บริษัทมีแผน ลงทุนเปิดศูนย์การค้าปีละ 2-3 แห่ง ใช้งบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมงบลงทุน 7,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์การค้าใน 2 แห่ง คือเกาะ สมุยและศาลายา โดยที่เกาะ สมุยนั้นจะสร้างศูนย์การค้าภายใต้แบรนด์ "เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย" ใช้งบลงทุนกว่า 3,100 ล้านบาท ตั้งอยู่บนหาดเฉวง พื้น ที่ 37 ไร่ คาดว่าจะเปิดให้บริ การได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2557 และมีแผนขยายโครงการเพิ่มขึ้น เพื่อจัดทำเป็นโรงแรมด้วยพื้นที่ประมาณ 2-3 ไร่ ซึ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวระดับบน (ไฮเอนด์) ทั้งชาวไทยและต่างชาติ
นายกอบชัย กล่าวว่า สำ หรับโครงการ "เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา" ใช้เงินลงทุนกว่า 3,900 ล้านบาท บนพื้นที่ 70 ไร่ สามารถจอดรถได้ถึง 2,000 คัน ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถรอง รับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่กำลังมีการขยายตัวสู่ชานเมือง รวมถึงการเติบโตทางด้านเศรษฐ กิจของจังหวัดนครปฐมที่มีตัว เลขที่สูงมาก มีประชากรที่ค่อนข้างมีฐานะอาศัยอยู่จำนวนมาก คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า และคาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 60,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายโครงการอีก 4 เฟส เพื่อรองรับการขยายการเติบโตของชุมชนในอนาคตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนที่จะ เปิดศูนย์การค้าในกลุ่มประเทศอาเซียนอีก 2-3 แห่ง คือ มาเล เซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งทางบริษัทฯ มองเห็นถึงศักย ภาพอำนาจและประมาณใน การซื้อของประชากรในประ เทศเหล่านี้มีอัตราที่สูง ซึ่งปัจจุ บันบริษัทมีศูนย์การค้ากระจายอยู่ภายในประเทศทั้งสิ้น 10 จัง หวัด ในอนาคตก็มีแผนที่จะขายต่อไปอีก โดยในปี 2556 ตั้งเป้ารายได้โตจากปีที่ผ่านมา 15%
นายกอบชัย กล่าวถึงกรณีพื้นที่สวนลุมพินี ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับแผน ที่จะเสนอโครงการในช่วงเดือน ส.ค.นี้ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับเจ้าของพื้นที่ จะมีความสนใจในโครงการที่ทางบริษัทฯ เสนอไปมากน้อยเพียงใด แต่หากบริษัทฯ ได้พื้นที่ในส่วนนี้ จะนับได้ว่าเป็นโครงการของซีพีเอ็นที่ใหญ่ที่สุด.
CPN เปิดโครง 2 การยักษ์ เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย และ เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา มูลค่ากว่า 7,000 ล้าน
ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม 2556
วันนี้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ประกาศ “ก้าวใหม่ของซีพีเอ็น” ในฐานะที่เป็นองค์กรที่นำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของไทย ซึ่งครั้งนี้ซีพีเอ็นเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ ประกาศการลงทุนบิ๊กโปรเจค 2 โครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านบาท บนโลเคชั่นที่ดีที่สุดของประเทศ 2 แห่ง คือ เกาะสมุย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกของไทย กับโครงการ “เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย” และอีกโครงการ คือ “เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา” บนทำเลศักยภาพสูงแห่งอนาคตของกรุงเทพฯ และปริมณฑลฝั่งตะวันตก พร้อมสร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ด้วยการนำนวัตกรรมการพัฒนาศูนย์การค้า มาสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความแตกต่างให้กับตลาดรีเทลของประเทศไทยกับครั้งแรกของการ พัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบ Theme Mall ระดับโลกที่มีความครบครันและสมบูรณ์แบบที่สุด ในทำเลศักยภาพสูงของประเทศ เพื่อให้ศูนย์การค้าเป็น Recreation Place ให้คนสามารถมาพักผ่อน ใช้ชีวิตในศูนย์การค้า สามารถมาเติมเต็มความสุขของการใช้ชีวิต
คุณกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของซีพีเอ็น กล่าวว่า “การก้าวไปข้างหน้าแต่ละครั้งของซีพีเอ็นจะต้องเป็นก้าวที่สำคัญและ สร้างความยิ่งใหญ่ ซึ่งครั้งนี้เราเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจบนโลเคชั่นที่ดีที่สุด 2 แห่งของประเทศ ที่มีศักยภาพสูง ทั้งการขยายตัวของเมือง และกลุ่มเป้าหมายกำลังซื้อสูง ซึ่งจะเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างก้าวกระ โดด ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ซีพีเอ็นจะต้องช่วงชิงโอกาสในการเปิด ศูนย์การค้าในทำเลสำคัญของประเทศก่อนใคร นอกจากนี้อีกก้าวใหม่ของซีพีเอ็น คือ การนำนวัตกรรมการพัฒนาศูนย์การค้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แตกต่าง ซึ่งในอนาคตศูนย์การค้าของซีพีเอ็นทุกแห่ง จะมีรูปแบบใหม่ที่ต่างกันไปทุกที่ เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตให้ผู้บริโภคยุคใหม่มีความสุขยิ่งๆ ขึ้น”
การพัฒนาโครงการ เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย ถือเป็นการช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญของซีพีเอ็น บนทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะเกาะสมุย เป็น Beach Destination ระดับโลกของไทย ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงในทุกด้าน การพัฒนาโครงการ เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย จะเป็นการเข้าไปต่อยอดความยิ่งใหญ่ และสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้กับเกาะสมุย ที่มีเทรนด์การเติบโตของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศ ในแถบยุโรป ออสเตรเลีย รัสเซีย และจีนที่มีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ เกาะสมุยยังมีการเติบโตของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับเป็น บ้านพักตากอากาศสำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาตั้งแต่ระดับ 1 ล้านบาทขึ้นไป จนถึง Luxury Villa ที่มีราคาสูงกว่า 60 ล้านบาท
เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย มีมูลค่าการลงทุนกว่า 3,100 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลดีที่สุดบนหาดเฉวง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมและเป็นย่านเศรษฐกิจหลักของสมุย ที่มีโรงแรมชั้นนำอยู่รายรอบ ที่ตั้งโครงการห่างจากสนามบิน เพียง 5 นาที และ 20 นาทีจากท่าเรือ โครงการตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 37 ไร่ ขนาดโครงการ 90,000 ตร.ม. โครงการนี้จะเป็นต้นแบบ Theme Mall แห่งแรกของซีพีเอ็น ที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์การออกแบบระดับโลก ให้บรรยากาศการช้อปปิ้งในสไตล์รีสอร์ทในคอนเซ็ปต์ “Reminiscence of Southern Lifestyle” สอดรับกับความเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก สามารถรับอรรถรสในการช้อปปิ้งไปพร้อมๆ กับการพักผ่อน ที่นี่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของสมุย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีจุดเด่นที่มาตรฐานโครงการระดับเวิลด์คลาส พร้อมด้วยสุดยอดสินค้าและบริการตอบโจทย์นักท่องเที่ยวได้ครบครัน
เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย มีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พร้อมด้วย Tops, PowerBuy, SuperSports, และ B2S เป็น Anchor หลัก เป็นศูนย์รวมร้านค้าแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและอินเตอร์กว่า 200 ร้านค้า มีแบรนด์แฟชั่นระดับโลก และ Night Bazaar รองรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ที่นี่จะเป็น Dining Destination แห่งใหม่ที่รวมร้านอาหารหลากหลายรูปแบบที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ เพียบพร้อมด้วยเอนเตอร์เทนเมนต์ โรงภาพยนตร์ ที่ทันสมัย และจะเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมระดับประเทศ เพื่อเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยว ดึงนักท่องเที่ยวมาที่สมุยอย่างต่อเนื่อง มีกำหนดเปิดในไตรมาส 1 ปี 2557 และเมื่อเปิดให้บริการคาดว่า จะมี Traffic ต่อวันกว่า 35,000 คน
ด้าน เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา มีมูลค่าโครงการกว่า 3,900 ล้าน มีพื้นที่โครงการขนาด 180,000 ตร.ม. บนพื้นที่ใหญ่ 70 ไร่ บนถนนบรมราชชนนี ขนาด10 เลน บริเวณศาลายา ระหว่างถนนพุทธมณฑลสาย 5 และ 7 ซึ่งจะรองรับการขยายตัวของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยที่มีความหนาแน่นสูงในปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางการศึกษา แหล่งรวมคนรุ่นใหม่ ที่มีกำลังซื้อสูง และมีแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคตจากแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจ ใหม่ รวมถึงการขยายโครงข่ายคมนาคมในอนาคต นอกจากนี้ ที่นี่จะเป็นศูนย์การค้าหลักที่รองรับกำลังซื้อของคนในจังหวัดนครปฐม เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา จะเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในรูปแบบ “Theme Mall” แห่งแรก ที่มีสวนโบทานิคประดับด้วยพรรณไม้นานาชนิด ทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ทั่วทั้งศูนย์การค้า โดดเด่นด้วยดอกกล้วยไม้หลากพันธุ์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ภายใต้แนวคิด “Contemporary Botanical” นำบรรยากาศ Outdoor เข้าไปไว้ในศูนย์การค้า ให้บรรยากาศเหมือนเดินช้อปปิ้งอยู่ในสวน โดย มีกำหนดเปิประมาณไตรมาส 3 ปี 2557 และเมื่อเปิดให้บริการเราคาดว่า จะมี Traffic ต่อวันกว่า 60,000 คน
คุณยุวดี จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า “สำหรับโปรเจ็คการเปิดโครงการ เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย และ เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา ทางห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเอง มีความพร้อมในเรื่องของการคัดสรรสินค้าและบริการที่ดีและทันสมัยที่ สุด เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันของ 2 สาขา สำหรับสาขาสมุยนั้น มีพื้นที่ประมาณ 8,000 ตารางเมตร ถูกออกแบบและตกแต่งหน้าร้านให้มีความโดดเด่นและทันสมัย เน้นความสดใสและมีชีวิตชีวา เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์หลักของศูนย์การค้าที่มีการตกแต่งใน บรรยากาศ รีสอร์ทระดับโลก ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความสะดวกสบายในบรรยากาศแห่งการพักผ่อน กลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและคนในพื้นที่ ส่วนสาขาศาลายามีพื้นที่ประมาณ 24,000 ตารางเมตร มีทั้งหมด 4 ชั้น ซึ่งลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของสาขานี้ เป็นกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ กลุ่มวัยทำงานและกลุ่มวัยรุ่น โดยพื้นที่รอบๆ ห้างดังกล่าว ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสูง มีโครงการที่อยู่อาศัยในระดับ A และ B+ จำนวนมาก รวมถึงสถานศึกษาชั้นนำอย่าง มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล”
ทั้งนี้ ซีพีเอ็นมองว่าจากนี้ไปเศรษฐกิจและการบริโภคของไทยจะดีขึ้น รวมถึงแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกมีสัญญาณที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุนให้ธุรกิจขยายตัวหลายด้าน โดยซีพีเอ็นมีแผนขยายธุรกิจต่อเนื่องทุกปี ด้วยเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจให้โตแบบก้าวกระโดด เสริมความแข็งแกร่งขององค์กร โดยคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโตประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)